เคยสังเกตไหมว่า ทำไมสินค้าแบรนด์ดังถึงมีฉลากสวย ๆ ดึงดูดสายตา? หรือทำไมเราถึงจำแบรนด์เครื่องดื่มบางยี่ห้อได้ทันทีที่เห็น? คำตอบคือ “สติกเกอร์ฉลากสินค้า” นั่นเอง! การพิมพ์สติกเกอร์ฉลากสินค้าไม่ใช่แค่การทำป้ายติดบอกรายละเอียดธรรมดา ๆ แต่เป็นเครื่องมือทางการตลาดชั้นเยี่ยมที่ช่วยให้สติกเกอร์แบรนด์ของคุณโดดเด่น น่าจดจำ และดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับการพิมพ์สติกเกอร์ฉลากสินค้า ประเภทต่าง ๆ วิธีเลือกให้เหมาะกับธุรกิจ รวมถึงเทคนิคการออกแบบฉลากติดสินค้าที่จะช่วยยกระดับสินค้าของคุณให้ดูพรีเมียมยิ่งขึ้น
สติกเกอร์ฉลากสินค้า คืออะไร? ทำไมสำคัญต่อธุรกิจ?

สติกเกอร์ฉลากสินค้า คือ แผ่นกระดาษหรือพลาสติกที่มีกาวติดอยู่ด้านหลัง สามารถแปะยึดติดกับสิ่งของต่าง ๆ ได้ มักมีการพิมพ์โลโก้ รูปภาพ หรือข้อความลงไป ทำหน้าที่เป็น “ตัวแทนสติกเกอร์แบรนด์” ที่สื่อสารกับลูกค้าโดยตรง
คุณเคยซื้อสินค้าในตลาดแล้วชอบมาก แต่พอกลับไปซื้ออีกทีกลับหาร้านไม่เจอไหม? นั่นแหละคือปัญหาที่สติกเกอร์ติดสินค้าช่วยแก้ได้! เพราะเมื่อมีฉลากติดสินค้าอยู่บนผลิตภัณฑ์ ลูกค้าจะรู้ว่านี่คือสินค้าของใคร ทำให้จดจำแบรนด์และกลับมาซื้อซ้ำได้ง่ายขึ้น
ประโยชน์สำคัญของสติกเกอร์ฉลากสินค้า:
- สร้างการจดจำแบรนด์ – ช่วยให้ลูกค้าจำสติกเกอร์แบรนด์คุณได้ง่ายและนานขึ้น
- เพิ่มมูลค่าสินค้า – ฉลากติดสินค้าที่ออกแบบดีช่วยให้สินค้าดูมีคุณค่ามากขึ้น ขายได้ราคาดีขึ้น
- ดึงดูดความสนใจ – สติกเกอร์ติดสินค้าสวย ๆ ช่วยดึงดูดสายตาลูกค้าบนชั้นวางสินค้า
- ให้ข้อมูลสำคัญ – บอกรายละเอียดสินค้า ส่วนผสม วันหมดอายุ หรือวิธีใช้
- สร้างความแตกต่าง – ทำให้สินค้าของคุณโดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่ง
รู้จักประเภทสติกเกอร์ฉลากสินค้า เลือกให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ
ก่อนสั่งทำสติกเกอร์ฉลากสินค้า สิ่งสำคัญคือต้องเลือกประเภทให้เหมาะกับการใช้งาน เพราะสติกเกอร์สินค้าแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ทั้งความทนทาน การกันน้ำ และราคา มาดูกันว่ามีประเภทไหนบ้าง:
1. สติกเกอร์กระดาษขาวด้าน
คุณสมบัติ: ทำจากกระดาษสีขาวด้าน ราคาประหยัด ไดคัทขึ้นรูปและแกะออกง่าย ทนความร้อนได้สูงถึง 90 องศาเซลเซียส
เหมาะสำหรับ: สินค้าที่ไม่ต้องโดนน้ำหรือความชื้น เช่น
- สติกเกอร์ติดขนม
- สติกเกอร์บาร์โค้ด
- ฉลากติดสินค้าบอกวันหมดอายุ
- สติกเกอร์ติดผลไม้
ข้อดี-ข้อเสีย: ราคาถูกที่สุด เหมาะกับผู้เริ่มต้นธุรกิจ แต่ไม่ทนต่อความชื้น หากเปียกน้ำจะฉีกขาดง่าย
การตกแต่งเพิ่มเติม: สามารถเคลือบเงาหรือเคลือบด้านเพื่อเพิ่มความสวยงามและทนทานได้
2. สติกเกอร์กระดาษขาวมัน

คุณสมบัติ: ผลิตจากกระดาษสีขาวที่มีการเคลือบมันที่ผิวหน้า ทำให้มีความแวววาว กันรอย และกันน้ำได้ดีกว่าสติกเกอร์กระดาษธรรมดา
เหมาะสำหรับ: สินค้าที่ต้องการความสวยงาม ดึงดูดสายตา เช่น
- สติกเกอร์ป้ายชื่อสินค้า
- สติกเกอร์ป้ายราคา
- สินค้าที่ต้องการความหรูหราในราคาประหยัด
ข้อดี-ข้อเสีย: มันวาว กันรอย กันน้ำได้บ้าง แต่ไม่สามารถจุ่มน้ำหรือแช่น้ำเป็นเวลานานได้ ราคาสูงกว่าสติกเกอร์กระดาษธรรมดาแต่ยังถูกกว่าสติกเกอร์พลาสติก
3. สติกเกอร์กระดาษคราฟท์
คุณสมบัติ: มีลักษณะเป็นกระดาษสีน้ำตาลธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เหมาะสำหรับ: สินค้าออร์แกนิก ธรรมชาติ หรือแฮนด์เมด ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ข้อดี-ข้อเสีย: สร้างความแตกต่าง ดูคลาสสิก แต่ไม่ทนต่อความชื้น และต้องระวังเรื่องการเลือกสีพิมพ์ให้เห็นชัดบนพื้นสีน้ำตาล
4. สติกเกอร์ PVC (พีวีซี)
คุณสมบัติ: เป็นสติกเกอร์พลาสติกที่มีความทนทาน ยืดหยุ่นสูง กันน้ำได้ 100% แต่ทนความร้อนได้ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส
เหมาะสำหรับ: สินค้าที่ต้องโดนน้ำ ตากฝน ตากแดด หรือมีรูปทรงโค้งนูน เช่น
- สติกเกอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า
- สติกเกอร์ติดกระจกรถยนต์
- สติกเกอร์ติดครีมล้างหน้า/ครีมกันแดด
- สติกเกอร์ติดแกลลอนน้ำมัน
ข้อดี-ข้อเสีย: ทนทาน กันน้ำได้ดี ติดบนพื้นผิวโค้งได้ดี แต่ไม่ทนความร้อนสูง ราคาถูกกว่า PP
5. สติกเกอร์ PP (พีพี)
คุณสมบัติ: เนื้อสติกเกอร์เป็นพลาสติกโพลีโพรพิลีน มีความเรียบเนียน สวยงาม กันน้ำได้ 100% มีทั้งแบบใสและสีต่าง ๆ
เหมาะสำหรับ: สินค้าที่ต้องการความสวยงามพรีเมียม หรือต้องการโชว์ผลิตภัณฑ์ด้านใน เช่น
- สติกเกอร์ติดขวดน้ำ
- สติกเกอร์ติดเครื่องสำอาง
- สติกเกอร์ติดขวดแชมพู
ข้อดี-ข้อเสีย: สวยงาม กันน้ำได้ดี แต่ไม่เหมาะกับสินค้าที่มีพื้นผิวโค้งนูนมาก เพราะอาจเกิดรอยยับได้ ราคาแพงกว่า PVC
6. สติกเกอร์ PET (พีอีที)
คุณสมบัติ: มีความทนทานสูงมาก กันน้ำได้ 100% และทนความร้อนได้สูงถึง 140-200 องศาเซลเซียส
เหมาะสำหรับ: สินค้าที่ต้องทนความร้อนสูง เช่น
- สติกเกอร์ติดอาหารแช่แข็ง (ที่ต้องนำไปอุ่นในไมโครเวฟ)
- เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความร้อนสูง
ข้อดี-ข้อเสีย: ทนทานที่สุด แทบไม่มีข้อเสีย แต่มีราคาแพงที่สุดในบรรดาสติกเกอร์ทั้งหมด
7. สติกเกอร์สูญญากาศ (Vacuum Sticker)
คุณสมบัติ: เหมาะสำหรับติดกระจก สามารถลอกออกและติดซ้ำได้โดยไม่มีคราบกาว
เหมาะสำหรับ: งานโฆษณาชั่วคราว หรือต้องการเปลี่ยนบ่อย เช่น
- สติกเกอร์ติดกระจกรถยนต์
- สติกเกอร์โฆษณาติดกระจกร้านค้า
ข้อดี-ข้อเสีย: ติดและลอกง่าย ไม่ทิ้งคราบกาว แต่ไม่ควรโดนน้ำและทนความร้อนได้น้อย
8. สติกเกอร์ซีทรู (See Through)
คุณสมบัติ: ติดบนกระจกแล้วสามารถมองทะลุออกไปได้จากด้านใน แต่คนด้านนอกมองเข้ามาไม่เห็น ลดแสงได้ประมาณ 50%
เหมาะสำหรับ: กระจกอาคารสำนักงาน หรือร้านค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัว
ข้อดี-ข้อเสีย: ให้ความเป็นส่วนตัว โดยยังสามารถมองออกไปข้างนอกได้ ทนน้ำและความร้อนได้ปานกลาง
รูปแบบสติกเกอร์และการใช้งาน
นอกจากประเภทของวัสดุแล้ว สติกเกอร์ยังมีรูปแบบการผลิตที่แตกต่างกัน ซึ่งเหมาะกับการใช้งานที่ต่างกันด้วย:
1. สติกเกอร์แบบแผ่น (Sheet Sticker)
ลักษณะ: พิมพ์ออกมาเป็นแผ่นใหญ่ แล้วตัดเป็นขนาดที่ต้องการ
ข้อดี: ยืดหยุ่นสูง สามารถตัดได้ตามต้องการ ผลิตง่ายด้วยเครื่องพิมพ์ทั่วไป
ข้อเสีย: ต้องตัดเอง อาจใช้เวลานาน ไม่เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก
2. สติกเกอร์แบบม้วน (Roll Sticker)
ลักษณะ: พิมพ์ออกมาเป็นม้วน โดยสติกเกอร์แต่ละชิ้นอยู่ติดกันในม้วน
ข้อดี: เหมาะกับการผลิตจำนวนมาก ใช้กับเครื่องติดสติกเกอร์อัตโนมัติได้ ทำให้ประหยัดเวลา
ข้อเสีย: ต้องใช้เครื่องพิมพ์พิเศษ ราคาสูงกว่าแบบแผ่น
3. สติกเกอร์ไดคัท (Die-Cut Sticker)
ลักษณะ: ตัดสติกเกอร์ให้มีรูปทรงเฉพาะตามที่ออกแบบ ไม่จำกัดเฉพาะรูปทรงสี่เหลี่ยม
ข้อดี: สวยงาม มีเอกลักษณ์ ดึงดูดสายตา แกะออกและติดง่าย
ข้อเสีย: ต้องใช้เครื่องตัดพิเศษ ราคาสูงกว่าสติกเกอร์ทั่วไป
4 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนสั่งทำสติกเกอร์ฉลากสินค้า
ก่อนพิมพ์สติกเกอร์ฉลากสินค้า มีปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึง เพื่อให้ได้งานที่ตรงใจและคุ้มค่าที่สุด:
1. เลือกประเภทสติกเกอร์ให้เหมาะกับการใช้งาน
ต้องพิจารณาว่าสินค้าของคุณต้องเจออะไรบ้าง:
- โดนน้ำหรือความชื้นไหม? ถ้าใช่ ควรเลือกประเภท PP, PVC หรือ PET
- ต้องทนความร้อนแค่ไหน? ถ้าต้องทนความร้อนสูง ควรเลือก PET
- มีพื้นผิวโค้งนูนไหม? ถ้าใช่ ควรเลือกสติกเกอร์ติดสินค้าประเภท PVC ที่ยืดหยุ่นได้ดี
- งบประมาณเท่าไหร่? หากเริ่มต้นธุรกิจ อาจเลือกฉลากติดสินค้าแบบกระดาษก่อน
2. ขนาดและการออกแบบไฟล์
ขนาด: ควรเผื่อขอบ (Bleed) ประมาณ 3-5 มม. รอบชิ้นงาน เพื่อป้องกันการตัดคลาดเคลื่อน
ไฟล์งาน: ควรใช้ไฟล์ที่มีความละเอียดสูง เช่น:
- ไฟล์ .ai (Adobe Illustrator) – ดีที่สุดสำหรับงานกราฟิก โลโก้สติกเกอร์แบรนด์
- ไฟล์ .psd (Photoshop) – เหมาะกับงานที่มีรูปภาพ
- หากมีเพียงไฟล์ .png, .jpeg ควรมีความละเอียดอย่างน้อย 300 dpi
เทคนิค: ลองตัดกระดาษ A4 ให้เป็นรูปทรงฉลากติดสินค้าตามต้องการแล้วลองติดกับสินค้าจริง เพื่อดูว่าขนาดเหมาะสมหรือไม่
การพิมพ์สติกเกอร์มีเทคนิคหลายแบบที่ให้คุณภาพและราคาแตกต่างกัน คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทำสติกเกอร์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะกับความต้องการของคุณ
3. เทคนิคการพิมพ์
มีเทคนิคการพิมพ์สติกเกอร์ 3 แบบหลัก ๆ:
Digital Printing:
- ใช้เครื่องพิมพ์ดิจิทัลความละเอียดสูง (2400 dpi ขึ้นไป)
- เหมาะกับงานจำนวนน้อย หลายแบบ ไม่ต้องทำบล็อก
- ขนาดใหญ่สุดเท่ากับกระดาษ A3+ (13×19 นิ้ว)
Inkjet Printing:
- ใช้เครื่องพิมพ์หน้ากว้าง
- เหมาะกับงานขนาดใหญ่
- ความละเอียดต่ำกว่า (800-1440 dpi)
- มีหลายประเภทหมึก (eco-solvent, UV ink, latex) ซึ่งราคาต่างกัน
Offset Printing:
- ใช้แม่พิมพ์ในการพิมพ์
- ต้นทุนเริ่มต้นสูง แต่ถ้าพิมพ์จำนวนมากจะถูกที่สุด
- เหมาะกับงานจำนวนมากที่เป็นแบบเดียวกัน
4. ระยะเวลาการผลิต
ควรวางแผนล่วงหน้าและเผื่อเวลาสำหรับ:
- การแก้ไขไฟล์งานหากมีปัญหา
- คิวการพิมพ์ของโรงพิมพ์ (โดยเฉพาะช่วงเทศกาล)
- งานผลิตใหม่ควรเผื่อเวลาประมาณ 1 สัปดาห์
- งานผลิตซ้ำ เผื่อเวลา 2-3 วันทำการ
เทคนิคการออกแบบสติกเกอร์ฉลากสินค้าให้โดดเด่น
การออกแบบสติกเกอร์ติดสินค้าที่ดีไม่เพียงแค่สวยงาม แต่ต้องสื่อสารแบรนด์และดึงดูดความสนใจได้ด้วย ลองใช้เทคนิคเหล่านี้:
- เลือกสีที่เหมาะกับแบรนด์ – ใช้สีที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์สติกเกอร์แบรนด์และเหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
- ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย – เลือกฟอนต์ที่ชัดเจน อ่านง่าย แม้มีขนาดเล็ก
- จัดวางองค์ประกอบให้สมดุล – วางโลโก้ ชื่อสินค้า และข้อมูลสำคัญให้เห็นชัดเจน
- ใช้พื้นที่ว่างอย่างมีประสิทธิภาพ – ไม่ยัดข้อมูลมากเกินไป ให้มีพื้นที่ว่างเพื่อความสบายตา
- เพิ่มความพิเศษด้วยเทคนิคการตกแต่ง – เช่น การเคลือบเงา เคลือบด้าน หรือปั๊มฟอยล์
- ทดสอบบนบรรจุภัณฑ์จริง – พิมพ์เทสก่อนสั่งทำสติกเกอร์จริง เพื่อดูว่าฉลากติดสินค้าเข้ากับบรรจุภัณฑ์หรือไม่
สติกเกอร์ฉลากสินค้าสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจ: เข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม
สติกเกอร์ฉลากสินค้ามีบทบาทสำคัญในธุรกิจหลากหลายประเภท แต่ละธุรกิจมีความต้องการและความท้าทายที่แตกต่างกันไป ลองมาดูว่าสติกเกอร์ฉลากสินค้าสามารถตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจแต่ละประเภทได้อย่างไร
1. ผู้ประกอบการร้านอาหารและเครื่องดื่ม
ความต้องการ:
- สติกเกอร์ที่ทนต่อความชื้นและอุณหภูมิ
- ฉลากสวยงามที่สื่อถึงความสดใหม่และคุณภาพของอาหาร
- ข้อมูลส่วนผสมและวันหมดอายุที่ชัดเจน
คำแนะนำ:
- สติกเกอร์ PP หรือ PET สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ต้องแช่เย็นหรืออุ่นร้อน
- เลือกโทนสีที่กระตุ้นความอยากอาหาร เช่น สีส้ม สีแดง สีเขียวสด
- ออกแบบให้เรียบง่ายแต่ดึงดูดสายตา พร้อมรายละเอียดส่วนผสมที่ชัดเจน
ตัวอย่าง: ร้านอาหารคลีนที่จำหน่ายอาหารกล่องควรเลือกสติกเกอร์ PET ที่ทนทานต่อการแช่แข็งและการอุ่นในไมโครเวฟ พร้อมข้อมูลแคลอรีและส่วนผสมที่ชัดเจน
2. ผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงาม
ความต้องการ:
- ฉลากที่มีความหรูหรา ดูพรีเมียม
- ทนต่อความชื้นในห้องน้ำและสารเคมีในผลิตภัณฑ์
- พื้นที่สำหรับข้อมูลส่วนผสมที่ครบถ้วนตามกฎหมาย
คำแนะนำ:
- สติกเกอร์ PP ใสสำหรับขวดแชมพูหรือโลชั่น
- พิจารณาเทคนิคพิเศษ เช่น ปั๊มฟอยล์ พิมพ์นูน หรือเคลือบเงาพิเศษ
- ออกแบบในโทนสีที่สื่อถึงความหรูหรา เช่น ทอง เงิน ขาว หรือดำ
ตัวอย่าง: แบรนด์สกินแคร์ออร์แกนิกควรเลือกสติกเกอร์กระดาษคราฟท์หรือวัสดุรีไซเคิลที่สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ พร้อมการออกแบบที่เรียบง่ายแต่ดูมีคุณค่า
3. ผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรมและงานฝีมือ
ความต้องการ:
- สติกเกอร์ที่สะท้อนความเป็นงานแฮนด์เมด
- ต้นทุนต่ำ เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก
- สามารถสั่งผลิตในจำนวนน้อยได้
คำแนะนำ:
- สติกเกอร์กระดาษหรือกระดาษคราฟท์ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ
- ออกแบบที่สื่อถึงความเป็นเอกลักษณ์และทำด้วยมือ
- เลือกการพิมพ์ดิจิทัลที่เหมาะกับการผลิตจำนวนน้อยและมีหลายแบบ
ตัวอย่าง: ผู้ผลิตสบู่แฮนด์เมดควรใช้สติกเกอร์กระดาษคราฟท์ที่มีการออกแบบเรียบง่าย เน้นชื่อแบรนด์และส่วนผสมหลักที่เป็นจุดขาย
4. ผู้ผลิตสินค้าเด็กและของเล่น
ความต้องการ:
- สติกเกอร์ปลอดสารพิษและปลอดภัย
- ดีไซน์สีสันสดใส ดึงดูดความสนใจของเด็กและผู้ปกครอง
- ข้อมูลความปลอดภัยและวิธีใช้ที่ชัดเจน
คำแนะนำ:
- สติกเกอร์ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัยสำหรับสินค้าเด็ก
- ใช้สีสันสดใส ตัวการ์ตูน หรือกราฟิกที่น่ารัก
- มีข้อมูลเกี่ยวกับอายุที่เหมาะสม คำเตือนความปลอดภัย และวิธีใช้ที่ชัดเจน
ตัวอย่าง: ผู้ผลิตของเล่นไม้ควรเลือกสติกเกอร์ปลอดสารพิษ มีลวดลายน่ารัก และมีข้อมูลว่าเหมาะสำหรับเด็กอายุเท่าไร
5. ผู้ประกอบการด้านสุขภาพและอาหารเสริม
ความต้องการ:
- สติกเกอร์ที่สื่อถึงความน่าเชื่อถือและมาตรฐาน
- พื้นที่สำหรับข้อมูลทางโภชนาการและคำแนะนำการใช้ที่ครบถ้วน
- ลุคที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์แต่เข้าใจง่าย
คำแนะนำ:
- สติกเกอร์ PP หรือ PVC ที่ทนทานต่อการใช้งาน
- ออกแบบที่ดูสะอาด เป็นระเบียบ ใช้สีที่สื่อถึงความเป็นมืออาชีพ
- มีพื้นที่สำหรับข้อมูลสำคัญ เช่น วิธีใช้ ปริมาณที่แนะนำ และคำเตือน
ตัวอย่าง: บริษัทผลิตวิตามินควรใช้สติกเกอร์ที่มีข้อมูลสารอาหารชัดเจน ดีไซน์ที่ดูน่าเชื่อถือ และมีเลข อย. ที่เห็นได้ชัด
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจประเภทใด การเลือกสติกเกอร์ฉลากสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและผลิตภัณฑ์ของคุณจะช่วยสร้างความแตกต่างและเพิ่มโอกาสทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริการพิมพ์สติกเกอร์คุณภาพเยี่ยมกับ Sticker to You
ที่ Sticker to You เรามุ่งมั่นที่จะมอบงานพิมพ์สติกเกอร์ฉลากสินค้าคุณภาพสูง ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี เราเข้าใจดีว่าฉลากติดสินค้าที่ดีต้องสะท้อนถึงคุณภาพและเอกลักษณ์ของแบรนด์คุณ
บริการพิมพ์สติกเกอร์สินค้าหลากหลายประเภท:
สติกเกอร์สูญญากาศ – เหมาะสำหรับติดกระจก ลอกออกง่ายไม่ทิ้งคราบ สติกเกอร์ Pop up – โดดเด่นด้วยการยกตัวนูนขึ้นจากพื้นผิว สติกเกอร์ใสพิมพ์สีขาว – พิมพ์ 5 สี สวยคมชัด สติกเกอร์สีเงิน สีทอง – เพิ่มความหรูหราให้สินค้า สติกเกอร์กันปลอม – ปกป้องสติกเกอร์แบรนด์ของคุณจากการลอกเลียนแบบ งานพิมพ์ Tag ไดคัทสินค้า – ตัดตามรูปทรงที่ต้องการ
บริการครบวงจรอื่น ๆ:
นอกจากสติกเกอร์ฉลากสินค้า เรายังมีบริการงานพิมพ์ครบวงจร:
- กล่องบรรจุภัณฑ์สินค้า
- บัตรกำนัล (Voucher)
- นามบัตร / บัตรสะสมแต้ม / คูปอง
- การ์ดเชิญ / การ์ดแต่งงาน
- แคตตาล็อก / แผ่นพับ / โบรชัวร์
- อุปกรณ์ออกบูธสำเร็จรูป
- และอื่น ๆ อีกมากมาย
ขั้นตอนการสั่งซื้อง่าย ๆ 6 ขั้นตอน:
- ส่งไฟล์งาน – ส่งคำขอสั่งทำสติกเกอร์ผ่านการกรอกใบเสนอราคาหรือแอดไลน์ @stickertoyou
- รับใบเสนอราคา – เราจะประเมินราคาตามรายละเอียดสินค้า ขนาด และปริมาณ
- ทีมงานติดต่อกลับ – แจ้งราคา รายละเอียด และให้คำแนะนำเพิ่มเติม
- คอนเฟิร์มออเดอร์และชำระเงิน – ยืนยันการสั่งซื้อและชำระเงิน
- ผลิตชิ้นงาน – ผลิตสติกเกอร์ติดสินค้าคุณภาพตามความต้องการของลูกค้า
- จัดส่งชิ้นงาน – ส่งงานให้ถึงมือลูกค้าตรงเวลา
สรุป
สติกเกอร์ฉลากสินค้าไม่ใช่แค่แผ่นกระดาษหรือพลาสติกติดสินค้าธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ช่วยสร้างการจดจำสติกเกอร์แบรนด์และเพิ่มมูลค่าสินค้าของคุณ การเลือกประเภทสติกเกอร์สินค้าและวัสดุที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์จะช่วยให้คุณประหยัดต้นทุนและได้งานคุณภาพตรงตามต้องการ ที่ Sticker to You เรามุ่งมั่นเป็นพันธมิตรที่ไว้ใจได้ พร้อมยกระดับฉลากติดสินค้าของคุณด้วยงานพิมพ์คุณภาพสูง รวดเร็ว และราคาคุ้มค่า
คำถามที่พบบ่อย
สติกเกอร์ฉลากสินค้าสามารถทนแดด ทนฝนได้หรือไม่?
สติกเกอร์ประเภท PVC และ PET สามารถทนแดด ทนฝนได้ดี เหมาะสำหรับติดภายนอกอาคารหรือสินค้าที่ต้องโดนน้ำบ่อย ๆ โดย PVC ทนความร้อนได้ถึง 40 องศา และ PET ทนได้ถึง 140-200 องศา ทั้งนี้ อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและการเก็บรักษา
สติกเกอร์แบบไหนเหมาะกับการทำฉลากอาหารที่ต้องอุ่นในไมโครเวฟ?
สติกเกอร์ PET เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับฉลากอาหารที่ต้องอุ่นในไมโครเวฟ เพราะทนความร้อนได้สูงถึง 140-200 องศาเซลเซียส ไม่หลุดลอกหรือปล่อยสารพิษเมื่อโดนความร้อน ทำให้ปลอดภัยสำหรับอาหารและคงความสวยงามแม้ผ่านการอุ่น
มีสติกเกอร์แบบกันน้ำสำหรับผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำหรือไม่?
มีครับ สติกเกอร์ประเภท PP และ PVC เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ในห้องน้ำ เช่น แชมพู ครีมอาบน้ำ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เพราะสามารถกันน้ำได้ 100% ทนต่อความชื้นสูง และไม่เสียหายเมื่อโดนน้ำหรือสารเคมีอ่อน ๆ ช่วยให้ฉลากของคุณยังคงสวยงามตลอดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์