ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจสงสัยว่า “Name Card ยังจำเป็นอยู่หรือเปล่า?” เมื่อเรามีช่องทางติดต่อมากมายทั้งอีเมล โซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชันแชท แล้วทำไมยังต้องมี นามบัตร เล็ก ๆ นี้อีก? บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับนามบัตรนักธุรกิจ ประโยชน์ และเหตุผลที่มันยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในโลกธุรกิจ แม้เราจะอยู่ในยุคดิจิทัลก็ตาม
นามบัตร คืออะไร?
Business Card หรือ Name Card คือสื่อสิ่งพิมพ์ขนาดเล็กรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่บรรจุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบุคคลหรือองค์กร ใช้ในการแนะนำตัวและแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อทางธุรกิจนามบัตรทำหน้าที่เป็นตัวแทนของคุณและธุรกิจ สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพ บุคลิกภาพ และภาพลักษณ์ของแบรนด์ผ่านการออกแบบนามบัตรและคุณภาพของวัสดุที่เลือกใช้

ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะมีนามบัตรดิจิทัลและช่องทางการติดต่อออนไลน์มากมาย แต่ Name Card แบบกระดาษยังคงมีเสน่ห์และความสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในการพบปะกันครั้งแรก
ทำไมนามบัตร (Name Card) ยังสำคัญในยุคดิจิทัล?
ในขณะที่โลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัวนามบัตรนักธุรกิจยังคงยืนหยัดเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง ด้วยเหตุผลหลายประการ:
- สร้างความสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวได้ทันที – Business Card ช่วยแก้ปัญหาการแลกเปลี่ยนข้อมูลติดต่อในสถานที่ที่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ตจำกัด หรือในกรณีที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าสูงวัยที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี
- สร้างความประทับใจแรกพบ – การมอบ Name Card Design ที่ออกแบบอย่างสวยงามและมีคุณภาพ สามารถสร้างความประทับใจแรกที่ดีให้กับผู้รับได้ ซึ่งสิ่งนี้อาจส่งผลต่อโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
- เสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ – นามบัตรที่ออกแบบนามบัตรอย่างมืออาชีพ สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของแบรนด์ จะช่วยสร้างการจดจำและส่งเสริมภาพลักษณ์ของธุรกิจในระยะยาว
- สร้างโอกาสในการพูดคุยและรู้จักกัน – การแลก Business Card เป็นพิธีกรรมทางสังคมที่เปิดโอกาสให้คุณได้มีปฏิสัมพันธ์กับอีกฝ่าย ได้ทดลองพูดคุย และประเมินบุคลิกภาพเบื้องต้น
- มีตัวตนที่จับต้องได้ – ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลดิจิทัล การได้สัมผัสนามบัตรจริงๆ สร้างความรู้สึกและประสบการณ์ที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้
มีการวิจัยที่น่าสนใจว่าการให้ Name Card 2,000 ครั้ง สามารถทำให้ธุรกิจเติบโตขึ้นถึง 25% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ในยุคดิจิทัล แต่การสร้างคอนเน็กชันแบบตัวต่อตัวยังมีพลังมากในโลกธุรกิจ
ประโยชน์ของนามบัตรในการทำธุรกิจ
Business Card ไม่ใช่แค่แผ่นกระดาษที่มีข้อมูลติดต่อ แต่เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ ประโยชน์สำคัญของนามบัตรนักธุรกิจ มีดังนี้:
เริ่มต้นแนะนำตัวอย่างมืออาชีพ
การยื่น Name Card เป็นวิธีการแนะนำตัวที่สุภาพและเป็นทางการ แสดงถึงความพร้อมและความเป็นมืออาชีพ นามบัตร ช่วยยืนยันตัวตนของคุณและทำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าคุณเป็นตัวแทนของบริษัทหรือองค์กรจริง ซึ่งช่วยสร้างความไว้วางใจตั้งแต่แรกพบ
สร้างความประทับใจที่ยากลืม
นามบัตรที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ทั้งในแง่ของการออกแบบนามบัตร วัสดุ และคุณภาพการพิมพ์ จะช่วยให้คุณถูกจดจำในกลุ่มคู่ค้าหรือลูกค้า เมื่อพวกเขาต้องการสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ พวกเขามีแนวโน้มที่จะนึกถึงคุณเป็นอันดับแรก
แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียด
การเตรียม Business Card ไว้พร้อมสำหรับการพบปะทางธุรกิจ แสดงให้เห็นถึงการวางแผนล่วงหน้าและความใส่ใจในรายละเอียด นามบัตรที่ออกแบบนามบัตรอย่างประณีตสื่อถึงว่าคุณให้ความสำคัญกับคุณภาพในทุกด้านของธุรกิจ
สร้างฐานลูกค้าและการต่อยอดธุรกิจ
Name Card เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการขยายฐานลูกค้า เมื่อผู้รับชื่นชอบในสินค้าหรือบริการของคุณ พวกเขามักจะแนะนำต่อโดยการส่งต่อนามบัตรนักธุรกิจของคุณให้แก่ผู้ที่อาจสนใจ ทำให้ธุรกิจเติบโตได้โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม
สะดวกในการพกพาและจัดเก็บ
ด้วยขนาดนามบัตร ที่เล็กกะทัดรัด Business Card จึงสะดวกในการพกพาและจัดเก็บ ทั้งสำหรับคุณและผู้รับ ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
องค์ประกอบสำคัญที่ควรมีในนามบัตร (Name Card)
การออกแบบนามบัตรที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วนและจัดวางอย่างเป็นระเบียบ องค์ประกอบสำคัญที่ควรมีใน Business Card ประกอบด้วย:
Business Card มีอะไรบ้าง – ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต้องมี
นามบัตรที่สามารถนำไปใข้อย่างเป็นประโยชน์ได้ดี ควรมีโลโก้(หรือตราบริษัทของคุณ), ชื่อ, ตำแหน่งงาน, ข้อมูลติดต่อ(เบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือที่อยู่) หรือไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือโซเซียลมีเดียด้วยก็ตาม Name Card ที่ดีควรมีข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้ผู้รับสามารถติดต่อคุณได้สะดวก โดยข้อมูลหลักที่ควรมีใน นามบัตรนักธุรกิจ ได้แก่:
- โลโก้หรือตราบริษัท – เป็นองค์ประกอบแรกที่ช่วยสร้างการจดจำและแสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
- ชื่อและตำแหน่ง – ควรระบุชื่อเต็มและตำแหน่งงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้รับทราบว่าคุณคือใครและมีบทบาทอะไรในองค์กร
- ข้อมูลการติดต่อ – รวมถึงเบอร์โทรศัพท์ อีเมล และช่องทางการติดต่อออนไลน์อื่น ๆ เช่น Line, Facebook หรือ LinkedIn
- ที่อยู่บริษัท – ควรระบุที่อยู่อย่างชัดเจน โดยเฉพาะหากธุรกิจของคุณมีหน้าร้านหรือสำนักงานที่ลูกค้าสามารถเข้ามาติดต่อได้
- เว็บไซต์หรือ QR Code – เพื่อให้ผู้รับสามารถเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้ง่ายขึ้น
การใช้ภาษาในนามบัตร
Name Card Design ที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน ควรมีข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษควบคู่กับภาษาไทย เพื่อรองรับการทำธุรกิจกับชาวต่างชาติและเสริมภาพลักษณ์ความเป็นสากล แม้ธุรกิจของคุณจะเน้นลูกค้าในประเทศเป็นหลัก การมีข้อมูลภาษาอังกฤษก็ช่วยเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
เทคนิคการออกแบบนามบัตรให้โดดเด่นและน่าจดจำ
การออกแบบนามบัตรที่ดีไม่เพียงแต่ให้ข้อมูลที่จำเป็น แต่ยังต้องสะท้อนตัวตนของธุรกิจและสร้างความประทับใจ เทคนิคการ Name Card Design ที่มีประสิทธิภาพมีดังนี้:
ดีไซน์เรียบง่าย แต่มีเอกลักษณ์
นามบัตร ที่ดีควรมีการออกแบบนามบัตรที่เรียบง่าย สะอาดตา ไม่รกรุงรัง ใช้พื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพโดยจัดวางองค์ประกอบให้มีความสมดุลและเป็นระเบียบ ถึงแม้จะเรียบง่ายแต่ก็สามารถสร้างสรรค์ให้มีเอกลักษณ์ได้ โดยยังคงอยู่ภายใต้กรอบของความเป็นทางการ
เลือกใช้วัสดุและกระดาษคุณภาพดี
การเลือกใช้กระดาษคุณภาพดีมีผลต่อความรู้สึกแรกของผู้รับ Name Card ควรเลือกกระดาษที่มีความหนาอย่างน้อย 270 แกรม เพื่อความแข็งแรงคงทน การเลือกวัสดุพิเศษหรือการเคลือบผิวแบบต่าง ๆ ก็สามารถเพิ่มความน่าสนใจและความรู้สึกพิเศษเมื่อสัมผัสได้
ใช้สีและฟอนต์ที่สอดคล้องกับแบรนด์
การเลือกใช้สีตาม Corporate Identity (CI) ของบริษัทจะช่วยเสริมสร้างการจดจำแบรนด์ ส่วนการเลือกฟอนต์ควรคำนึงถึงความชัดเจน อ่านง่าย และสอดคล้องกับบุคลิกของธุรกิจ โดยไม่ควรใช้ฟอนต์มากเกิน 2-3 แบบใน Business Card เดียวกัน
พิจารณาขนาดและรูปทรงให้เหมาะสม
ขนาดนามบัตร มาตรฐานอยู่ที่ประมาณ 9 x 5.5 เซนติเมตร แต่คุณสามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงให้สอดคล้องกับธุรกิจได้ เช่น แนวตั้งแทนแนวนอน หรือรูปทรงที่สอดคล้องกับธุรกิจ ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความสะดวกในการพกพาและจัดเก็บด้วย
ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการทำนามบัตร
การพิมพ์นามบัตรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้:
ข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่ทันสมัย
ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดของ Name Card คือการให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการสะกดชื่อผิด เบอร์โทรผิด หรือให้ข้อมูลที่ล้าสมัย เช่น อีเมลที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ข้อผิดพลาดเหล่านี้ไม่เพียงทำให้คุณพลาดโอกาสทางธุรกิจ แต่ยังส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพอีกด้วย
ดีไซน์เลอะเทอะหรือซับซ้อนเกินไป
นามบัตรที่มีการออกแบบนามบัตรซับซ้อนเกินไป ไร้ระเบียบ หรือใช้สีสันฉูดฉาดเกินไป อาจสะท้อนถึงความไม่เป็นมืออาชีพและขาดวิจารณญาณในการเลือกสิ่งที่เหมาะสม การออกแบบควรสะท้อนอัตลักษณ์ของธุรกิจ แต่ยังคงความสะอาดตาและเป็นระเบียบ
ข้อมูลมากหรือน้อยเกินไป
Business Card ที่อัดแน่นด้วยข้อมูลมากเกินไปจะทำให้ผู้อ่านสับสนและไม่ทราบว่าควรโฟกัสที่จุดใด ในทางกลับกัน นามบัตรที่มีข้อมูลน้อยเกินไปก็อาจไม่ให้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการติดต่อกลับ การหาจุดสมดุลระหว่างความครบถ้วนและความกระชับเป็นสิ่งสำคัญ
เนื้อหาไม่เหมาะสมกับบริบท
การใส่เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับบริบททางสังคมหรือวัฒนธรรม อาจสร้างความไม่พอใจหรือความเข้าใจผิดให้กับผู้รับ ควรคำนึงถึงบรรทัดฐานของสังคมและวัฒนธรรมในการออกแบบนามบัตรและเลือกเนื้อหาสำหรับ Name Card
การมอบนามบัตรในเวลาที่ไม่เหมาะสม
การให้นามบัตรในเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูดคุยกับคนอื่น หรือในระหว่างการประชุมสำคัญ อาจสร้างความรำคาญและทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดี เวลาที่เหมาะสมในการมอบ Business Card คือหลังจากได้ทำความรู้จักกันเบื้องต้นแล้ว หรือในช่วงที่ทั้งสองฝ่ายมีเวลาพูดคุยกัน
มารยาทในการแลกนามบัตร (Name Card)
การแลกนามบัตรนักธุรกิจไม่ใช่เพียงแค่การยื่นกระดาษให้กัน แต่เป็นพิธีกรรมทางสังคมที่มีมารยาทและขั้นตอนเฉพาะ โดยเฉพาะในบริบทธุรกิจระดับนานาชาติ ต่อไปนี้คือมารยาทพื้นฐานในการแลก Name Card:
การให้นามบัตรอย่างมืออาชีพ
- ยื่นนามบัตรด้วยสองมือ โดยหันด้านที่มีข้อมูลเข้าหาผู้รับ แสดงถึงความเคารพและความใส่ใจ
- แนะนำตัวเองพร้อมกับยื่น Business Card เพื่อสร้างความคุ้นเคยและความประทับใจแรกพบ
- ควรเตรียมนามบัตรให้พร้อมก่อนการพบปะ เพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพและการเตรียมตัวที่ดี
- ให้ Name Card กับคนที่มีแนวโน้มจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจของคุณ ไม่ใช่แจกแบบไม่มีจุดหมาย
การรับนามบัตรอย่างสุภาพ
- รับนามบัตรด้วยสองมือ แสดงความเคารพต่อผู้ให้
- ใช้เวลาอ่านข้อมูลบน Business Card สักครู่ แสดงความสนใจในข้อมูลของอีกฝ่าย
- อย่าเก็บนามบัตรทันทีที่ได้รับ ควรวางไว้บนโต๊ะหรือถือไว้ระหว่างการสนทนา
- หลีกเลี่ยงการเขียนบน Name Card ต่อหน้าผู้ให้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
ความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ในบางประเทศ โดยเฉพาะในเอเชีย การแลกนามบัตรถือเป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญมาก เช่น:
- ในญี่ปุ่น การแลกนามบัตร (เมชิ) เป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญมาก ต้องใช้สองมือยื่นและรับ Business Card พร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อย
- ในจีน การใช้สองมือในการแลก Name Card เป็นการแสดงความเคารพ และควรอ่านนามบัตรที่ได้รับอย่างตั้งใจ
- ในไทย การยื่นและรับนามบัตรด้วยมือขวาหรือสองมือถือเป็นมารยาทที่ดี
บริการพิมพ์นามบัตรคุณภาพโดย Sticker to You
ที่ Sticker to You เราเข้าใจความสำคัญของนามบัตร ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจของคุณ เรามุ่งมั่นที่จะมอบบริการพิมพ์นามบัตรคุณภาพสูง ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณ ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี เรามั่นใจว่าจะสามารถสร้าง Name Card ที่สะท้อนตัวตนและเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ของคุณได้อย่างลงตัว

บริการครบวงจรสำหรับนามบัตรที่โดดเด่น
ทีม Sticker to You พร้อมให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษาออกแบบนามบัตร จนถึงการพิมพ์นามบัตรและจัดส่ง โดยเรามีจุดเด่นในการให้บริการดังนี้:
- ออกแบบโดยทีมมืออาชีพ – ทีมกราฟิกดีไซเนอร์ของเรามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการ Name Card Design ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของแบรนด์ ทันสมัย และใช้งานได้จริง
- วัสดุคุณภาพสูง – เรามีทางเลือกกระดาษและวัสดุหลากหลายประเภท ตั้งแต่กระดาษอาร์ตการ์ดมาตรฐาน กระดาษผิวด้าน ไปจนถึงกระดาษพิเศษ รวมถึงการเคลือบผิวแบบต่าง ๆ
- เทคโนโลยีการพิมพ์ทันสมัย – ด้วยเครื่องพิมพ์คุณภาพสูงและเทคนิคการพิมพ์ล่าสุด ทำให้นามบัตร ของคุณมีความคมชัด สีสันสดใส และรายละเอียดที่สมบูรณ์แบบ
- ตัวเลือกเทคนิคพิเศษ – เราสามารถเพิ่มลูกเล่นพิเศษให้กับ Business Card ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น การปั๊มฟอยล์ การปั๊มนูน การเคลือบเงา/ด้าน หรือการไดคัทรูปทรงพิเศษ
- ราคาเหมาะสม คุ้มค่า – เรามีอัตราค่าบริการที่เหมาะสมและคุ้มค่า พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับการสั่งพิมพ์นามบัตรจำนวนมาก
- ส่งงานรวดเร็ว ตรงเวลา – เรามีบริการจัดส่งที่รวดเร็วและตรงเวลา ทำให้คุณได้รับ นามบัตร ทันตามกำหนดการใช้งาน
ประเภทนามบัตรที่เราให้บริการ
ที่ Sticker to You เราเชี่ยวชาญในการพิมพ์นามบัตรหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม:
- นามบัตรมาตรฐาน – พิมพ์บนกระดาษคุณภาพดี ด้วยการพิมพ์ออฟเซ็ตหรือดิจิทัล
- นามบัตรพรีเมียม – พิมพ์บนกระดาษพิเศษ เช่น กระดาษผ้า กระดาษการ์ด หรือกระดาษนำเข้า
- นามบัตรด้วยเทคนิคพิเศษ – เช่น ปั๊มฟอยล์ทอง/เงิน, ปั๊มนูน, สปอตยูวี, ไดคัทรูปทรงพิเศษ
- นามบัตรใส – พิมพ์บนพลาสติกใส สร้างความโดดเด่นและน่าจดจำ
- นามบัตรเมมเบอร์การ์ด – ออกแบบนามบัตรให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจระดับสากล
สรุป
แม้โลกจะก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว แต่ Name Card ยังคงเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังในการสร้างความสัมพันธ์และความประทับใจแรกให้กับธุรกิจของคุณ นามบัตรนักธุรกิจ ที่ออกแบบนามบัตรอย่างมืออาชีพ จะสะท้อนตัวตนของแบรนด์และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้พบเห็น
การลงทุนกับ Business Card คุณภาพดีจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ทั้งในแง่ของภาพลักษณ์และโอกาสทางธุรกิจ ที่ Sticker to You เราพร้อมเป็นพันธมิตรช่วยคุณสร้างนามบัตรที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ และสื่อถึงความเป็นมืออาชีพของธุรกิจคุณ!
คำถามที่พบบ่อย
นามบัตรใส่ชื่อเล่นไหม?
ชื่อและตำแหน่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ควรปรากฏบนนามบัตรทุกใบ ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่น การระบุทั้งสองอย่างจะช่วยให้ผู้รับสามารถจดจำและติดต่อคุณได้สะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในสังคมไทยที่มักเรียกกันด้วยชื่อเล่นในการทำธุรกิจ การใส่ชื่อเล่นจึงช่วยสร้างความเป็นกันเองและทำให้คนจำคุณได้ง่ายขึ้น
นามบัตร ใส่อะไรบ้าง?
นามบัตรที่ดีไม่เพียงแค่ให้ข้อมูลการติดต่อ แต่ยังสะท้อนความเป็นมืออาชีพและความใส่ใจในรายละเอียด ต่อไปนี้คือประเภทของนามบัตรที่นิยมใช้ในปัจจุบัน:
- นามบัตรมาตรฐาน – พิมพ์บนกระดาษคุณภาพดี มีข้อมูลติดต่อครบถ้วน
- นามบัตรสปอตวานิช – เพิ่มลูกเล่นด้วยการเคลือบวานิชเฉพาะจุด สร้างความโดดเด่น
- นามบัตรฟอยล์ทอง/ฟอยล์เงิน – ปั๊มฟอยล์เพื่อเพิ่มความหรูหรา เหมาะกับธุรกิจระดับพรีเมียม
- นามบัตรพับ – มีการพับเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือการนำเสนอที่มากขึ้น
- นามบัตรมีผิวสัมผัส – สร้างมิติด้วยการปั๊มนูนหรือเทคนิคพิเศษที่สร้างผิวสัมผัสได้
นามบัตรควรมีความหนาเท่าไหร่?
กระดาษมาตรฐานสำหรับนามบัตร เริ่มที่ความหนา 270 แกรม (gsm) เป็นกระดาษเคลือบผิวหรือเรียกว่ากระดาษอาร์ต สำหรับใช้กับนามบัตรทั่วไป ซึ่งไม่บางและมีความหนาที่เหมาะสม ลูกค้าสามารถเลือกน้ำหนักกระดาษ (ความหนา) ได้แก่ 270 แกรม, 300 แกรม, และ 350 แกรม กระดาษชนิดเดียวกันความหนากระดาษจะแปรผันกับน้ำหนักกระดาษ โดยยิ่งแกรมสูงยิ่งมีความหนาและความแข็งแรงทนทานมากขึ้น ทำให้นามบัตรดูมีคุณภาพและสร้างความประทับใจได้ดียิ่งขึ้น